วันที่ 6 พ.ค.ที่ รพ.ตรัง ผู้สื่อข่าวติดตามอาการล่าสุดของ พ่อ อายุ 28 ปี ภายหลังจากไลฟ์สดขับรถพุ่งลงแม่น้ำตรัง วานนี้ โดยได้รับการยืนยันจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและกู้ภัยเมื่อช่วงเช้าว่าเสียชีวิตแล้ว ส่วนอาการของเด็กหญิงวัย 1 ขวบ 7 เดือน อาการยังโคม่าโอกาสรอดเพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นซึ่งแพทย์พยายามยื้อชีวิตอย่างสุดความสามารถ
ด้าน น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 25 ปี อดีตภรรยาและแม่ของเด็กหญิงวัย 1 ขวบเศษ เปิดเผยทั้งน้ำตาว่า หมอแจ้งอาการล่าสุดของลูกสาว ว่ามีโอกาสรอดชีวิตเพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์เพราะสมองน้องตายไปแล้ว หากต้องยื้อชีวิตก็มีเพียงแค่หัวใจที่ยังเต้น และความดัน หมอก็พยายามช่วยอย่างเต็มที่ตลอด เพราะตอนที่นำลูกขึ้นมาจากน้ำเจ้าหน้าที่กู้ชีพใช้เวลาปั๊มหัวใจ กว่า 30 นาที ซึ่งโอกาสรอดก็ยากอยู่แล้ว หลังจากส่งตัว จากรพ.กันตัง มารพ.เมืองตรัง อาการน้องก็ไม่ตอบสนองแล้ว ซึ่งหลังจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแจ้งเมื่อเช้านี้ว่าโอกาสรอแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ ถ้ารอดก็เป็นเจ้าหญิงนิทรา
โดยปมเหตุที่อดีตสามีตัดสินใจจบชีวิตนั้น น.ส.เอ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนพยายามจะไปเอาลูกมาเลี้ยงเองมาตลอดเพราะอดีตสามีพยายามฆ่าตัวตายหลายครั้ง เห็นจากการโพสต์บนโซเชียลมีเดียมาตลอด ก็พยายามแคปหน้าจอไว้ทุกช่องทางและไปแจ้งตำรวจไว้ เพื่อจะใช้เป็นหลักฐานในการไปขอลูกคืน แต่อดีตสามีก็บอกให้ไปฟ้องศาลเอา เพราะที่ผ่านมาเราพยายามเจรจาแต่ไม่ลงตัวเราก็ทราบว่าเขาป่วยจิตเวช ไบโพลาร์ อารมณ์ 2 ขั้ว สุดท้ายก็มีการเจรจา ขอเจอลูกสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ซึ่งปมเหตุของการตัดสินใจจบชีวิตที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเงินเห็นได้จากการโพสต์ตัดพ้อผ่านเฟสบุ๊ก เนื่องจากไม่มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง และชอบโพสต์หาค่านมลูกผ่านทางโซเชียลเช่นกัน
ด้านนางบี (นามสมมุติ) อายุ 57 ปี ยายของเด็ก เปิดเผยว่า ปกติหลานเป็นเด็กร่าเริง อารมณ์ดี และตอนนี้ ตนเองหัวใจสลายเมื่อทราบข่าวหลานมีโอกาสรอดแค่ 10 เปอร์เซ็นต์หมอให้ดูอาการคืนนี้อีก 1 คืน และการที่พ่อเขาตัดสินใจทำแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ครั้งก่อนเขาก็ไลฟ์สดและพยายามฆ่าตัวตายพร้อมลูกที่สะพานแก้มดำ โดยพยายามจะเอาหลานมาอยู่ด้วย แต่ทางญาติอีกฝ่ายไม่ยอม รวมถึงไม่ให้พบเจอหน้าหลาน จึงไม่รู้ว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวหลานเป็นอย่างไร
