ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย เหตุเพลิงไหม้โกดังเก็บสารเคมี อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา ยังต้องปิด รพ.ภาชี ต่อไป เนื่องจากคุณภาพอากาศภายในอาคารยังมีค่าสารมลพิษจากการเผาไหม้สูงกว่าเกณฑ์ โดยเปิด รพ.สนาม ที่วัดโคกม่วง ดูผู้ป่วยนอกและฉุกเฉินแทน ส่วนประชาชนในรัศมี 1 กิโลเมตร 599 คน พบมีอาการระคายเคืองตา เวียนศีรษะไม่รุนแรง 74 ราย เครียดน้อย 42 ราย เครียดปานกลาง 9 ราย เครียดมาก 3 ราย วางแผนติดตามเฝ้าระวังผลกระทบสุขภาพต่อเนื่อง
2 พฤษภาคม 2567 ที่ รพ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.ภาณุวัฒน์ ปานเกตุ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 4 และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าเหตุไฟไหม้โกดังเก็บสารเคมี ที่ อ.ภาชี จากการลงพื้นที่พบว่า ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (PHEOC) สำนักงานสาธารณสุข จ.พระนครศรีอยุธยา สามารถรับมือเหตุการณ์ได้อย่างรวดเร็ว โดยมีการปิด รพ.ภาชี ซึ่งอยู่ห่างที่เกิดเหตุเพียง 600 เมตร และย้ายผู้ป่วยใน 35 คน ออกนอกพื้นที่ โดยให้กลับบ้านได้ 17 ราย ที่เหลือส่งต่อไป รพ.ท่าเรือ 8 ราย รพ.สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ (วาสนมหาเถร) 7 ราย และ รพ.อุทัย 3 ราย พร้อมทั้งเปิด รพ.สนาม ที่วัดโคกม่วง ซึ่งอยู่ด้านเหนือลม ให้บริการผู้ป่วยนอกและฉุกเฉินเบื้องต้น วันนี้มีผู้รับบริการ 28 ราย เป็นผู้ได้รับผลกระทบ 9 ราย (แสบตา/ระคายคอ) ส่วนผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่มีนัดกับโรงพยาบาล 80 ราย ได้ใช้ Health Rider จัดการส่งยาให้
นพ.โอภาส กล่าวว่า หน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ได้จัดทีมประเมินผลกระทบทางร่างกาย 7 ทีม ออกเฝ้าระวังผลกระทบสุขภาพประชาชนในรัศมี 1 กิโลเมตร จำนวน 599 คน 109 หลังคาเรือน พบมีอาการระคายเคืองตา เวียนศีรษะ แต่ไม่รุนแรง 74 คน ได้วางแผนติดตามตรวจเอกซเรย์ปอดทั้งหมด เพื่อเฝ้าระวังผลกระทบ ส่วนการคัดกรองด้านสุขภาพจิต พบมีความเครียดระดับน้อย 42 คน ปานกลาง 9 คน และเครียดมาก 3 คน เจ้าหน้าที่ได้ให้การดูแลแล้ว
สำหรับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม จากการตรวจวัดคุณภาพอากาศภายในอาคารของ รพ.ภาชี พบว่า ยังมีค่าสารมลพิษที่เกิดจากการเผาไหม้สูงกว่าเกณฑ์ จึงต้องปิดให้บริการไปก่อน และให้ติดตามตรวจวัคคุณภาพอากาศทุกวันจนกว่าจะมั่นใจในความปลอดภัยค่อยกลับมาเปิดให้บริการ ทั้งนี้ ได้ย้ำให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัย มีการสื่อสารแนวทางการเฝ้าระวังสุขภาพให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับทราบ และเฝ้าระวังผลกระทบ ทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
